kanyarat
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ระบบหมุนเวียนเลือด
เมื่ออาหารถูกย่อยจนเล็กที่สุด แพร่เข้าสู่ผนังลำไส้เล็กและแพร่ผ่านเข้าสู่เส้นเลือดแล้วจะเคลื่อนที่ไปสู่
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายพร้อมกับเลือด
ระบบการหมุนเวียนเลือด มีอวัยวะสำคัญที่เกี่ยวข้องได้แก่ หัวใจ เส้นเลือด และเลือด
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายพร้อมกับเลือด
ระบบการหมุนเวียนเลือด มีอวัยวะสำคัญที่เกี่ยวข้องได้แก่ หัวใจ เส้นเลือด และเลือด
เลือด(Blood) ประกอบด้วย น้ำเลือด หรือพลาสมา(Plasma) และเม็ดเลือดซึ่งประกอบด้วยเม็ดเลือดแดง
เม็ดเลือดขาว และเซลล์เม็ดเลือดหรือเกล็ดเลือด(Platelet) เม็ดเลือดแดงมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นโปรตีนและเหล็กมีชื่อเรียกว่า เฮโมโกลบิน ก๊าซออกซิเจน จะรวมตัวกับเฮโมโกลบินแล้วลำเลียงไปใช้ยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เม็ดเลือดขาวซึ่งผลิตโดยม้าม
* จะทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกาย ส่วนเกล็ดเลือดจะเป็นตัวช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล น้ำเลือดประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 91 ที่เหลื่อเป็นสารอาหารต่าง ๆ เช่นโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ เอนไซม์ และก๊าซ เส้นเลือด(Blood Vessel) คือท่อที่เป็นทางให้เลือดไหลเวียนในร่างกายซึ่งมี 3 ระบบ คือเส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ และเส้นเลือดฝอย หัวใจ(Heart) ตั้งอยู่ในทรวงอกระหว่างปอดทั้งสองข้างเอียงไปทางซ้ายของแนวกลางตัว ประกอบด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงภายในมี 4 ห้อง -หัวในห้องบนซ้าย(Left atrium) มีหน้าที่ รับเลือดที่ผ่านการฟอกที่ปอด -หัวใจห้องบนขวา(Right atrium) มีหน้าที่ รับเลือดที่ร่างกายใช้แล้ว -หัวใจห้องล่างขวา(Right ventricle) มีหน้าที่ สูบฉีดเลือดไปฟอกที่ปอด -หัวใจห้องล่างซ้าย(Left ventricle) มีหน้าที่ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ระหว่างหัวใจซีกซ้ายและซีกขวามีผนังที่เหนียว หนา และแข็งแรงกั้นไว้ และระหว่างห้องหัวใจด้านบนและ
ด้านล่างของแต่ละซีก มีลิ้นของหัวใจคอยปิดกั้นมิให้เลือดไหลย้อนกลับ ดังนั้น การไหลเวียนของเลือดจึงเป็นการไหลไปในทางเดียวกันตลอด ซึ่ง วิลเลียม ฮาร์วีย์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นคนแรกที่ค้นพบการหมุนเวียนของเลือด และชี้ให้เห็นว่า เลือดมีการไหลเวียนไปทางเดียวกัน
ด้านล่างของแต่ละซีก มีลิ้นของหัวใจคอยปิดกั้นมิให้เลือดไหลย้อนกลับ ดังนั้น การไหลเวียนของเลือดจึงเป็นการไหลไปในทางเดียวกันตลอด ซึ่ง วิลเลียม ฮาร์วีย์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นคนแรกที่ค้นพบการหมุนเวียนของเลือด และชี้ให้เห็นว่า เลือดมีการไหลเวียนไปทางเดียวกัน
การไหลเวียนของเลือดเริ่มโดยห้องบนขวารับเลือดดำที่ร่างกายใช้แล้ว ส่งไปยังห้องล่างขวา ห้องล่างขวาจะฉีดเลือดดำไปฟอกที่ปอด ในขณะเดียวกัน เลือดแดงที่ผ่านการฟอกจากปอดจะเข้าสู่หัวใจทางห้องบนซ้ายแล้วส่งต่อมายังห้องล่างซ้าย หัวใจก็จะฉีดเลือดแดงออกจากห้องล้างซ้ายเข้าสู่เส้นเลือดใหญ่ ซึ่งต่อมาก็แยกออกเป็นเส้นเลือดเล็ก และเส้นเลือดฝอย เพื่อนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เลือดที่ใช้แล้วก็จะไหลกลับมาที่หัวใจทางห้องบนขวาอีก จะหมุนเวียนเช่นนี้ไปตลอดชีวิต เพื่อให้เห็นชัดเจนขอให้ดูแผนภาพต่อไปนี้
ซึ่งเราสามารถสรุปเป็นหน้าที่ของระบบหมุนเวียนโลหิตได้ดังนี้
1. นำอาหารและสารอื่น ๆ รวมทั้งออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ของร่างกาย
2. นำคาร์บอนไดออกไซด์ไปขับออกทางปอดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนกลับมาใช้
3. ขับถ่ายน้ำของเสียซึ่งเกิดจากเมตาโบลิซึมเพื่อขับออกภายนอกร่างกาย
4. ช่วยควบคุมและรักษาดุลของสารน้ำภายในร่างกาย
5. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ– 80 ครั้ง /นาที ในวัยเด็กที่มีสภาพร่างการปกติชีพจรจะเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่ การออกกำลังกายก็มีผลต่ออัตราการเต้นของชีพจร การออกกำลังกายทำให้ร่างกายต้องการพลังงานสูงขึ้นกว่าปกติ จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอดมากขึ้น การสูบฉีดเลือดจึงต้องสูงขึ้น จะพบว่าชีพจรก็จะเต้นเร็วขึ้น หัวใจสูบฉีดเลือดเร็วขึ้น
จึงกล่าวได้ว่าการเต้นของชีพจรสัมพันธ์กับระบบหายใจและระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกายเครื่องมือที่ใช้ในการฟังการเต้นของชีพจรคือ
1. นำอาหารและสารอื่น ๆ รวมทั้งออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ของร่างกาย
2. นำคาร์บอนไดออกไซด์ไปขับออกทางปอดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนกลับมาใช้
3. ขับถ่ายน้ำของเสียซึ่งเกิดจากเมตาโบลิซึมเพื่อขับออกภายนอกร่างกาย
4. ช่วยควบคุมและรักษาดุลของสารน้ำภายในร่างกาย
5. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ– 80 ครั้ง /นาที ในวัยเด็กที่มีสภาพร่างการปกติชีพจรจะเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่ การออกกำลังกายก็มีผลต่ออัตราการเต้นของชีพจร การออกกำลังกายทำให้ร่างกายต้องการพลังงานสูงขึ้นกว่าปกติ จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอดมากขึ้น การสูบฉีดเลือดจึงต้องสูงขึ้น จะพบว่าชีพจรก็จะเต้นเร็วขึ้น หัวใจสูบฉีดเลือดเร็วขึ้น
จึงกล่าวได้ว่าการเต้นของชีพจรสัมพันธ์กับระบบหายใจและระบบหมุนเวียนเลือดในร่างกายเครื่องมือที่ใช้ในการฟังการเต้นของชีพจรคือ
ขณะหัวใจบีบตัวเลือดจะถูกดันออกไปตามหลอดเลือดจากหัวใจด้วยความดันสูงทำให้เลือดไปเลี้ยง
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ขณะที่หัวใจรับเลือดเข้าไปนั้นก็จะมีความดันน้อยที่สุด ความดันเลือดที่แพทย์วัดออกมาได้ซึ่งมีหน่วยเป็นมิลลิเมตรของปรอทจึงมีสองค่า เช่น 110/70 มิลลิเมตรของปรอท
ตัวเลข 110 แสดงค่าของความดันเลือดขณะหัวใจบีบตัวเพื่อดันเลือดออกจากหัวใจ
ตัวเลข 70 แสดงค่าความดันเลือดขณะหัวใจคลายตัวรับเลือดเข้าสู่หัวใจ
ถ้าเราเอานิ้วมือจับที่ข้อมือด้านซ้าย จะพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างเต้นตุ๊บ ๆ อยู่ภายใน สิ่งนั้นเรียกว่า ชีพจร
ชีพจรเป็นการหดตัวและขยายตัวของหลอดเลือดตามจังหวะการเต้นของหัวใจ โดยคนหนุ่มสาวปกติชีพจรจะเต้นประมาณ 70
สเตโทสโคป (stethoscope)
การปฏิบัติตนเพื่อดูแลรักษาอวัยวะภายในระบบ1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
2. อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์
3. พักผ่อนให้มาก เพราะการพักผ่อนนอนหลับจะทำให้หัวใจเต้นช้าลง
4. ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศและวัย
5. ทำจิตใจให้แจ่มใสร่าเริง ไม่เครียด
6. งดเว้นจากสิ่งเสพติดทุกชนิด
ระบบย่อยอาหาร
ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะหลาย ๆ อวัยวะ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ตับ
ตับอ่อน ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ซึ่งอวัยวะบางอวัยวะไม่มีการย่อยแต่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหาร
การย่อยอาหาร เป็นกระบวนการที่ทำให้อาหารที่มีโมเลกุลใหญ่ มีขนาดเล็กลงจนสามารถซึมเข้าสู่เซลล์ได้
การย่อยมี 2 ลักษณะคือ 1. การย่อยเชิงกล เป็นการย่อยอาหารโดยไม่ใช้เอ็นไซม์มาช่วย เป็นการบดเคี้ยวให้อาหารมีขนาดเล็กลง ได้แก่การบดเคี้ยวอาหารในปาก
2. การย่อยทางเคมี เป็นการย่อยที่ต้องใช้เอ็นไซม์*(หรือน้ำย่อย)มาช่วย ทำให้โมเลกุลของอาหารมีขนาด เล็กลง เช่นการเปลี่ยนโมเลกุลของแป้งเป็นน้ำตาล
การย่อยอาหารจะเริ่มตั้งแต่อาหารเข้าสู่ร่างกายโดยผ่าน ปาก ลิ้น ฟัน ต่อจากนั้นอาหารจะถูกลืนผ่านลำคอไปตามอวัยวะต่าง ๆ ตามลำดับดังนี้
ตับอ่อน ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ซึ่งอวัยวะบางอวัยวะไม่มีการย่อยแต่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหาร
การย่อยอาหาร เป็นกระบวนการที่ทำให้อาหารที่มีโมเลกุลใหญ่ มีขนาดเล็กลงจนสามารถซึมเข้าสู่เซลล์ได้
การย่อยมี 2 ลักษณะคือ 1. การย่อยเชิงกล เป็นการย่อยอาหารโดยไม่ใช้เอ็นไซม์มาช่วย เป็นการบดเคี้ยวให้อาหารมีขนาดเล็กลง ได้แก่การบดเคี้ยวอาหารในปาก
2. การย่อยทางเคมี เป็นการย่อยที่ต้องใช้เอ็นไซม์*(หรือน้ำย่อย)มาช่วย ทำให้โมเลกุลของอาหารมีขนาด เล็กลง เช่นการเปลี่ยนโมเลกุลของแป้งเป็นน้ำตาล
การย่อยอาหารจะเริ่มตั้งแต่อาหารเข้าสู่ร่างกายโดยผ่าน ปาก ลิ้น ฟัน ต่อจากนั้นอาหารจะถูกลืนผ่านลำคอไปตามอวัยวะต่าง ๆ ตามลำดับดังนี้
ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ
ปาก เป็นอวัยวะแรกของระบบย่อยอาหาร ภายในปากจะมีส่วนประกอบดังนี้
-ฟัน ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหารให้มีขนาดเล็กลง
-ต่อมน้ำลาย จะขับน้ำลายซึ่งมีน้ำย่อย ไทอะลิน(Ptyalin) ออกมาคลุกเคล้ากับอาหาร และช่วยในการย่อยอาหารจำพวกแป้งให้เป็นน้ำตาล -ลิ้นจะช่วยกวาด, คลุกเคล้าอาหาร และส่งอาหารที่เคี้ยวลงสู่หลอดอาหาร
หลอดอาหาร ท่อลำเลียงอาหารอยู่ด้านหลังของหลอดลมและทะลุกระบังลมไปต่อกับปลายบนของกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่เคี้ยวแล้วลงสู่กระเพาะอาหาร โดยการบีบรัดของผนังกล้ามเนื้อ
กระเพาะอาหาร เป็นอวัยวะที่ต่อจากหลอดอาหาร ในกระเพาะจะขับน้ำย่อยเพบซิน(Pepsin) ซึ่งจะย่อยอาหารโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ โดยจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง จากนั้นจะส่งต่อไปยังลำไส้เล็ก ลำไส้เล็ก การย่อยและดูดซึมสารอาหารส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่นี่ ลำไส้เล็กมีรูปร่างเป็นท่อยาวประมาณ 15 ฟุต มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือตอนต้น ตอนกลาง และตอนปลาย ภายในลำไส้เล็กจะมีส่วนที่ยื่นออกมาจำนวนมากเรียกว่า วิลไล(villi) ภายในวิลไลมีเส้นเลือดฝอยและน้ำเหลืองช่วยดูดซึมอาหารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กเข้าสู่เซลล์ การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก เป็นการย่อยขั้นสุดท้าย ซึ่งต้องอาศัยเอ็นไซม์จากลำไส้เล็กเองและจาก
ตับอ่อน*ในการย่อยอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน นอกจากนี้ยังมีน้ำดี*ซึ่งสร้างโดยตับ*และสะสมไว้ในถุงน้ำดี อาหารที่ย่อยแล้วซึมเข้าไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อาหารที่เหลือจากการถูกดูดซึมจะเคลื่อนที่ลงสู่ลำไส้ใหญ่ เพื่อถ่ายออกจากร่างกายเป็นอุจจาระต่อไป
ลำไส้ใหญ่ เป็นส่วนสุดท้ายของระบบย่อยอาหาร อยู่ติดกับลำไส้เล็ก ตรงรอยต่อจะมี ไส้ติ่ง(Vermiform appendix)ติดอยู่ ในลำไส้ใหญ่จะไม่มีการย่อยอาหาร แต่จะมีการดูดซึมน้ำเข้าสู่ร่างกาย และส่งกากอาหารที่เหลือออกสู่ทวารหนักเป็นอุจจาระ
-ฟัน ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหารให้มีขนาดเล็กลง
-ต่อมน้ำลาย จะขับน้ำลายซึ่งมีน้ำย่อย ไทอะลิน(Ptyalin) ออกมาคลุกเคล้ากับอาหาร และช่วยในการย่อยอาหารจำพวกแป้งให้เป็นน้ำตาล -ลิ้นจะช่วยกวาด, คลุกเคล้าอาหาร และส่งอาหารที่เคี้ยวลงสู่หลอดอาหาร
หลอดอาหาร ท่อลำเลียงอาหารอยู่ด้านหลังของหลอดลมและทะลุกระบังลมไปต่อกับปลายบนของกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่เคี้ยวแล้วลงสู่กระเพาะอาหาร โดยการบีบรัดของผนังกล้ามเนื้อ
กระเพาะอาหาร เป็นอวัยวะที่ต่อจากหลอดอาหาร ในกระเพาะจะขับน้ำย่อยเพบซิน(Pepsin) ซึ่งจะย่อยอาหารโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ โดยจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง จากนั้นจะส่งต่อไปยังลำไส้เล็ก ลำไส้เล็ก การย่อยและดูดซึมสารอาหารส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่นี่ ลำไส้เล็กมีรูปร่างเป็นท่อยาวประมาณ 15 ฟุต มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือตอนต้น ตอนกลาง และตอนปลาย ภายในลำไส้เล็กจะมีส่วนที่ยื่นออกมาจำนวนมากเรียกว่า วิลไล(villi) ภายในวิลไลมีเส้นเลือดฝอยและน้ำเหลืองช่วยดูดซึมอาหารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กเข้าสู่เซลล์ การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก เป็นการย่อยขั้นสุดท้าย ซึ่งต้องอาศัยเอ็นไซม์จากลำไส้เล็กเองและจาก
ตับอ่อน*ในการย่อยอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน นอกจากนี้ยังมีน้ำดี*ซึ่งสร้างโดยตับ*และสะสมไว้ในถุงน้ำดี อาหารที่ย่อยแล้วซึมเข้าไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อาหารที่เหลือจากการถูกดูดซึมจะเคลื่อนที่ลงสู่ลำไส้ใหญ่ เพื่อถ่ายออกจากร่างกายเป็นอุจจาระต่อไป
ลำไส้ใหญ่ เป็นส่วนสุดท้ายของระบบย่อยอาหาร อยู่ติดกับลำไส้เล็ก ตรงรอยต่อจะมี ไส้ติ่ง(Vermiform appendix)ติดอยู่ ในลำไส้ใหญ่จะไม่มีการย่อยอาหาร แต่จะมีการดูดซึมน้ำเข้าสู่ร่างกาย และส่งกากอาหารที่เหลือออกสู่ทวารหนักเป็นอุจจาระ
การปฏิบัติตนในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบ
1. รับประทานอาหารให้ครบทุกประเภทในแต่ละมื้อ และรับประทานอาหารแต่พอควร
ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
2. รับประทานอาหารที่สะอาด และปรุงสุกใหม่ ๆ
3. ไม่รับประทานอาหารพร่ำเพรื่อ จุกจิก และทานให้ตรงเวลา
4. อย่ารีบรับประทานอาหารขณะกำลังเหนื่อย
5. ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีรสจัดจนเกินไป
6. ถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาและสม่ำเสมอ
1. รับประทานอาหารให้ครบทุกประเภทในแต่ละมื้อ และรับประทานอาหารแต่พอควร
ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
2. รับประทานอาหารที่สะอาด และปรุงสุกใหม่ ๆ
3. ไม่รับประทานอาหารพร่ำเพรื่อ จุกจิก และทานให้ตรงเวลา
4. อย่ารีบรับประทานอาหารขณะกำลังเหนื่อย
5. ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีรสจัดจนเกินไป
6. ถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาและสม่ำเสมอ
ทดสอบหลังเรียน
1. ถ้าบ้านนักเรียนอยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยควันพิษ จะเป็นอันตรายต่อระบบอวัยวะใดมากที่สุด
ก. ระบบขับถ่าย
ก. ออกกำลังกายเหมาะสมกับวัย
ก. ในเซลล์ทุกเซลล์
ข. ในหลอดเลือด
4. ข้อใดลำดับการทำงานถูกต้อง
ก. ไต-กระเพาะปัสสาวะ-หลอดไต-ท่อปัสสาวะ
ก. ตับ
ข. ไต
ค. ปอด
ก. กระบังลมขยายตัว/ซี่โครงยกตัวสูงขึ้น
ง. กระบังลมหดตัว/ซี่โครงยกสูงขึ้น
7. หลังจากเกิดบาดแผลเล็ก ๆ ข้อใดทำให้เลือดแข็งตัว
ก. เม็ดเลือดแดง
ก. ดูดซึมสารอาหารประเภทวิตามิน
9. ข้อใดไม่ถูกต้อง
ก. เลือดจากหัวใจห้องล่างขวาถูกนำไปฟอกที่ปอด
ก. ระบบขับถ่าย
ก. ระบบขับถ่าย
ข. ระบบย่อยอาหาร
ค. ระบบหมุนเวียนเลือด ง. ระบบหายใจ
2. การปฏิบัติตนตามข้อใดที่จะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ข. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ
ค. งดเว้นจากสิ่งเสพติดทุกชนิด
ง. พักผ่อนให้เพียงพอ
3. การแลกเปลี่ยนแก๊สในร่างกายมนุษย์ เกิดขึ้นที่ใดข. ในหลอดเลือด
ค. ในหัวใจทั้ง 4 ห้อง
ง. ในถุงลมปอด4. ข้อใดลำดับการทำงานถูกต้อง
ข. ปอด-หัวใจห้องบนซ้าย-ห้องล่างซ้าย-ส่วนของร่างกาย
ค. จมูก-ปอด-หลอดลม-กระบังลม
ง. กระเพาะอาหาร-หลอดอาหาร-ลำไส้เล็ก-ลำไส้ใหญ่
5. อวัยวะข้อใด ไม่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายข. ไต
ค. ปอด
ง. ผิวหนัง
6. ในขณะที่หายใจเข้า ลักษณะของกล้ามเนื้อกระบังลมและซี่โครง เป็นอย่างไร ข. กระบังลมหดตัว/ซี่โครงเคลื่อนตัวต่ำลง
ค. กระบังลมขยายตัว/ซี่โครงเคลื่อนตัวต่ำลง ง. กระบังลมหดตัว/ซี่โครงยกสูงขึ้น
7. หลังจากเกิดบาดแผลเล็ก ๆ ข้อใดทำให้เลือดแข็งตัว
ข. เกล็ดเลือด
ค. เม็ดเลือดขาว
ง. พลาสมา
8. ตับอ่อน เกี่ยวข้องกับระบบการย่อยอาหารอย่างไร ข. ผลิตน้ำย่อยเพื่อย่อยที่ลำไส้เล็ก
ค. ดูดซึมน้ำเข้าสู่ร่างกาย
ง. เก็บสะสมอาหารที่ย่อยแล้ว9. ข้อใดไม่ถูกต้อง
ข. เม็ดเลือดขาวเป็นตัวช่วยกำจัดเชื้อโรค
ค. เลือดดำจากส่วนของร่างกายเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย
ง. การหมุนเวียนของเลือดเป็นไปในทางเดียวกันตลอด
10. ถ้าบ้านนักเรียนอยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยควันพิษ จะเป็นอันตรายต่อระบบอวัยวะใดมากที่สุด ข. ระบบหมุนเวียนเลือด
ค. ระบบย่อยอาหาร
ง. ระบบหายใจ
ทดสอบก่อนเรียน
1. การแลกเปลี่ยนแก๊สในร่างกายมนุษย์ เกิดขึ้นที่ใด
ก. ในหัวใจทั้ง 4 ห้อง
ก. ไต
ข. ตับ
ก. ระบบย่อยอาหาร
ข. ระบบขับถ่าย
ก. กระบังลมขยายตัว/ซี่โครงยกตัวสูงขึ้น
ก. ออกกำลังกายเหมาะสมกับวัย
6. ตับอ่อน เกี่ยวข้องกับระบบการย่อยอาหารอย่างไร
ก. ดูดซึมสารอาหารประเภทวิตามิน
ง. ผลิตน้ำย่อยเพื่อย่อยที่ลำไส้เล็ก
7. การอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ เป็นการปฏิบัติตนเพื่อดูแลอวัยวะระบบใด
ก. ระบบหายใจ
ก. จมูก-ปอด-หลอดลม-กระบังลม
ก. เกล็ดเลือด
ก. เม็ดเลือดขาวเป็นตัวช่วยกำจัดเชื้อโรค
ข. ในหลอดเลือด
ค. ในเซลล์ทุกเซลล์
ง. ในถุงลมปอด
2. อวัยวะข้อใด ไม่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายข. ตับ
ค. ผิวหนัง
ง. ปอด
3. ถ้าบ้านนักเรียนอยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยควันพิษ จะเป็นอันตรายต่อระบบอวัยวะใดมากที่สุดข. ระบบขับถ่าย
ค. ระบบหมุนเวียนเลือด
ง. ระบบหายใจ
4. ในขณะที่หายใจเข้า ลักษณะของกล้ามเนื้อกระบังลมและซี่โครง เป็นอย่างไร ข. กระบังลมหดตัว/ซี่โครงเคลื่อนตัวต่ำลง
ค. กระบังลมขยายตัว/ซี่โครงเคลื่อนตัวต่ำลง
ง. กระบังลมหดตัว/ซี่โครงยกสูงขึ้
5. การปฏิบัติตนตามข้อใดที่จะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ข. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ
ค. งดเว้นจากสิ่งเสพติดทุกชนิด
ง. พักผ่อนให้เพียงพอ6. ตับอ่อน เกี่ยวข้องกับระบบการย่อยอาหารอย่างไร
ข. เก็บสะสมอาหารที่ย่อยแล้ว
ค. ดูดซึมน้ำเข้าสู่ร่างกายง. ผลิตน้ำย่อยเพื่อย่อยที่ลำไส้เล็ก
7. การอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ เป็นการปฏิบัติตนเพื่อดูแลอวัยวะระบบใด
ข. ระบบขับถ่าย
ค. ระบบย่อยอาหาร
ง. ระบบหมุนเวียนเลือด
8. ข้อใดลำดับการทำงานถูกต้อง ข. ปอด-หัวใจห้องบนซ้าย-ห้องล่างซ้าย-ส่วนของร่างกาย
ค. ไต-กระเพาะปัสสาวะ-หลอดไต-ท่อปัสสาวะ
ง. กระเพาะอาหาร-หลอดอาหาร-ลำไส้เล็ก-ลำไส้ใหญ่
9. หลังจากเกิดบาดแผลเล็ก ๆ ข้อใดทำให้เลือดแข็งตัว ข. เม็ดเลือดแดง
ค. พลาสมา ง. เม็ดเลือดขาว
10. ข้อใดไม่ถูกต้อง ข. เลือดจากหัวใจห้องล่างขวาถูกนำไปฟอกที่ปอด
ค. เลือดดำจากส่วนของร่างกายเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย
ง. การหมุนเวียนของเลือดเป็นไปในทางเดียวกันตลอด
บทนำ
บทนำ
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้ถูกมนุษย์บันทึกไว้แล้วหลายอย่าง ซึ่งบางอย่างอยู่ไกลแสนไกลจนหลายคน
ไม่มีโอกาสได้สัมผัส หรือเข้าใกล้แม้ตราบจนสิ้นชีวิต
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้ถูกมนุษย์บันทึกไว้แล้วหลายอย่าง ซึ่งบางอย่างอยู่ไกลแสนไกลจนหลายคน
ไม่มีโอกาสได้สัมผัส หรือเข้าใกล้แม้ตราบจนสิ้นชีวิต
แต่มีสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด
แต่กลับไม่ได้ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือ ร่างกายของเราเอง หากมองให้ลึกลงไปจะพบว่า
ภายในร่างกายเรานั้นมีระบบกลไกต่าง ๆ ที่สลับซับซ้อน และสามารถทำงานสัมพันธ์กันเป็นระบบได้อย่างน่าพิศวง จนมีผู้กล่าวไว้ว่า ร่างกายมนุษย์ เป็นเครื่องจักรที่มหัศจรรย์และวิเศษที่สุด ไม่มีเครื่องจักรชนิดใดในโลกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับระบบกลไกของมนุษย์อีกแล้วส่วนที่เล็กที่สุดของร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วยเซลล์ เซลล์ชนิดเดียวกันรวมเรียกว่าเนื้อเยื่อ
เนื้อเยื่อหลาย ๆ กลุ่มทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน เรียกกลุ่มของเนื้อเยื่อเหล่านี้ว่า อวัยวะ
อวัยวะหลาย ๆ อย่างที่ทำงานร่วมกัน เรียกว่า ระบบอวัยวะ ระบบอวัยวะในร่างกายมนุษย์มีอยู่หลายระบบ
แต่กลับไม่ได้ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือ ร่างกายของเราเอง หากมองให้ลึกลงไปจะพบว่า
ภายในร่างกายเรานั้นมีระบบกลไกต่าง ๆ ที่สลับซับซ้อน และสามารถทำงานสัมพันธ์กันเป็นระบบได้อย่างน่าพิศวง จนมีผู้กล่าวไว้ว่า ร่างกายมนุษย์ เป็นเครื่องจักรที่มหัศจรรย์และวิเศษที่สุด ไม่มีเครื่องจักรชนิดใดในโลกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับระบบกลไกของมนุษย์อีกแล้วส่วนที่เล็กที่สุดของร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วยเซลล์ เซลล์ชนิดเดียวกันรวมเรียกว่าเนื้อเยื่อ
เนื้อเยื่อหลาย ๆ กลุ่มทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน เรียกกลุ่มของเนื้อเยื่อเหล่านี้ว่า อวัยวะ
อวัยวะหลาย ๆ อย่างที่ทำงานร่วมกัน เรียกว่า ระบบอวัยวะ ระบบอวัยวะในร่างกายมนุษย์มีอยู่หลายระบบ
ในที่นี้ขอนำเสนอเพียงบางส่วนที่สอดคล้องกับ
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้แก่
ระบบย่อยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบขับถ่าย
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้แก่
ระบบย่อยอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหายใจ และระบบขับถ่าย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)